เทศน์บนศาลา

สมาธิชวนเชื่อ

๒๓ มี.ค. ๒๕๖๓

สมาธิชวนเชื่อ

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ

สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริงนะ เราตั้งใจจะประพฤติปฏิบัติ เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีคุณค่า มีคุณค่าสามารถแก้ไขชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราได้

กิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราเห็นไหม ใครจะไปแก้ได้ๆ การแก้นะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูดการแก้จิตแก้ยากนะ การแก้จิตแก้ยากนะจิตนี้ใครจะเป็นคนแก้ แต่เวลาในวงประพฤติปฏิบัติ ในวงกรรมฐานเราไง จิตแก้จิต

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม เกิด เกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอะไรพาเกิด ก็อวิชชาไง กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจนั้นไง แต่กิเลสของคนมีบวกและมีลบ เวลาเป็นบวกขึ้นมา พระโพธิสัตว์ๆ ที่สร้างคุณงามความดีของท่านมา

เวลาท่านเกิดขึ้นมาเห็นไหม เวลาเกิดมาเป็นจักรพรรดิ เกิดมาเป็นผู้มีบุญมีกุศล เวลามีบุญมีกุศลแล้วเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์สมบัติมันมีคุณค่า มันมีคุณค่าจะทำสิ่งใดก็จะประสบความสำเร็จ จะมีความสุขอยู่ในโลกนี้ๆ ไง

แต่ถ้าคนมีบาปมาเกิดเห็นไหม เกิดมาเป็นคนทุกข์คนจน เกิดเป็นคนทุกข์คนยาก บุญพาเกิดหรือบาปพาเกิด อวิชชาๆ คือความไม่รู้ในหัวใจดวงนั้น

แม้แต่ทำคุณงามความดีมาก็เหมือนกัน แต่เป็นคุณงามความดีอวิชชาพาเกิด กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจนั้นพาเกิด แต่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากในแง่บวกของพระโพธิสัตว์ ผู้ที่มีอำนาจวาสนา เวลาเกิดมาแล้วมีบุญญาธิการที่สามารถจะค้นคว้าหาสัจจะหาความจริงในใจตนได้

ที่ว่าธรรมะๆ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่นักๆ แล้วคนที่ยิ่งใหญ่นักคนที่จะค้นคว้าได้เห็นไหม คนที่ค้นคว้าคนที่ต้องสร้างอำนาจวาสนามา มันอยู่ลึกลับซับซ้อนอยู่ในใจของสัตว์โลก แล้วไม่มีใครสามารถค้นคว้าได้ ว่าธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ ธรรมะคือสัจจะความจริงมันมีอยู่โดยดั้งเดิมนะ แต่ใครจะมีอำนาจวาสนามีบุญญาธิการมากน้อยแค่ไหน ที่จะสามารถเข้าไปจับหัวใจของตน ค้นคว้าในจิตของตน แล้วจิตแก้จิต จิตแก้กิเลสในใจของตนเห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมา สิ่งที่พาเกิดๆ คืออวิชชาพาเกิด เวลาเกิดมาแล้วมีอำนาจวาสนาขึ้นมาเห็นไหม เวลามาเกิดมีอำนาจวาสนาขึ้นมา เกิดมาเดินได้ ๗ ก้าว เปล่งวาจาเลย เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

เราเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายแต่เวลาพระเจ้าสุทโธทนะเห็นไหม พยายามเลี้ยงดูมาเพื่อความอยากจะให้เป็นจักรพรรดิ เพื่อความจะสืบราชบัลลังก์ของพระเจ้าสุทโธทนะ การสร้างสมบุญญาธิการให้มีนางพิมพาเป็นพระมเหสี พระมเหสีขึ้นมาเวลาครองคู่กันมาเกิดสามเณรราหุล นี่คืออะไร นี่ก็คือนี่ไง ครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ ครอบครัวของจักรพรรดิ ครอบครัวของกษัตริย์

แต่เวลาท่านจะได้สถาปนาเป็นกษัตริย์ ท่านมีบุญ ด้วยอำนาจของบุญวาสนามันทำให้ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย สิ่งที่ว่าพระเจ้าสุทโธทนะจะให้เป็นจักรพรรดิ ครอบครองแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อขยายอาณาจักรของตน นี่ ความว่ายิ่งใหญ่ไง สิ่งที่ความยิ่งใหญ่นั่นมันเรื่องทางโลกไง นั่น มันเป็นหน้าที่ หน้าที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ตำแหน่งหน้าที่การงานที่จะต้องรับผิดชอบ

แต่คนที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมา ท่านคิดถึงดวงใจของตน ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย คือ การกระทำ มีการประพฤติปฏิบัติ เห็นสมณะในการปฏิบัติค้นคว้า ค้นคว้าหาหัวใจของตน จิตแก้จิต

แต่ด้วยอำนาจวาสนา การสร้างสมบุญญาธิการมามันยิ่งใหญ่เห็นไหม ท่านเป็นจักรพรรดิ มันเป็นเรื่องของทางโลกไง เป็นการปกครองไง เป็นการปกครอง เป็นการเชิดชูในชาติในตระกูลของตน นี่เป็นความปรารถนาของสังคม เป็นความปรารถนาของโลกไง

แต่คนที่มีอำนาจวาสนาเห็นไหม ที่ว่าสิ่งที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันจะค้นคว้าที่ไหน ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันจะค้นคว้าที่ในหัวใจของตนไง นี่สิ่งที่เป็นสัจจะความจริง เป็นสัจจะความจริงที่คนมีอำนาจวาสนานะ

แล้วจักรพรรดิในสมัยโบราณทุกคนก็อยากจะอยู่ค้ำฟ้าๆ ก็พยายามจะหา หาความว่ายาจะทำให้อยู่ตลอดไปไม่สิ้นชีวิต มันไม่มี แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบุญญาธิการเห็นไหม เขาไปค้นคว้าหาสมุนไพร ค้นคว้าหาหยูกยาเพื่อเป็น การไม่ตาย มันหาไม่ได้

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะหาขึ้นมาเห็นไหม เวลาจะหาขึ้นมาหาในใจของตน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ตั้งแต่เริ่มต้นธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของคนเกิดนี่ปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนาเวลามีการกระทำไป สิ่งใดสิ่งหนึ่งเห็นไหม มีการกระทำแล้วมันก็คิดไปแต่อำนาจวาสนาบารมีของตน

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษา ศึกษากับ เจ้าลัทธิต่างๆ เพราะว่ายังต้องการการค้นคว้า การค้นคว้าไปค้นคว้ากับใคร ไปค้นคว้าศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ค้นคว้ามา ขนาดไหน ศึกษาจนครูบาอาจารย์เจ้าลัทธิต่างๆ หมดคำสอน หมดวิธีการ สิ้นสุดแล้วทั้งนั้น ไม่มีความเป็นจริงในสัจจะความจริง เพราะอะไร เพราะด้วยอำนาจวาสนา

แต่ถ้าคนที่ต่ำต้อย คนที่ด้อยค่าเขาก็เชื่อ เขาก็ประพฤติปฏิบัติ เขาก็เชื่อตามอาจารย์ของเขา แต่เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ ไม่เชื่อเพราะอะไร

เพราะธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมแล้วทำไมเจ้าลัทธิต่างๆ ทำไมเขาไม่ค้นคว้าให้ได้ล่ะ เขาค้นคว้าไม่ได้เพราะเขาไม่มีวาสนาไง เพราะอำนาจวาสนาของเขาได้แค่นั้น เขาเชื่อแค่นั้น เขามีกำลังได้แค่นั้น เขาทำได้แค่นั้น

เจ้าชายสิทธัตถะไม่เชื่อ เวลาค้นคว้า ค้นคว้าเอง มันเป็นความมหัศจรรย์ เพราะอะไร

เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พอโดยชอบโดยธรรมมันไม่มีคนอื่นทำได้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณนี่มันมีอยู่แล้ว ฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาลเขาทำได้ เจ้าลัทธิต่างๆ เขาก็ทำของเขาได้ นั่นมันก็เป็นเรื่องของอภิญญาเรื่องของโลกไง แต่อภิญญาของโลกมันก็อยู่ที่วาสนา อยู่ที่กำลังของคนทำได้มากน้อยขนาดไหน

แต่เวลาถึงที่สุดแล้ว อาสวักขยญาณในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างหาก เวลาชำระล้างกิเลส ชำระล้างกิเลส นี่พระพุทธศาสนา อริยสัจ ๔ สัจจะความจริงสอนกันที่นี่ สอนกันที่จิตแก้จิต จิตเห็นการกระทำของจิต ให้ทำลายอวิชชา ทำลายอวิชชา อวิชชาคือใคร อวิชชาคือพญามารไง เวลามารมันมีลูกหลานของมัน มีความโลภ ความโกรธ ความหลง นางตัณหา นางอรดี ลูกของมาร แล้วหลานของมาร สิ่งที่อุปาทานต่างๆ สิ่งนี้ลูกหลานของมาร เวลาทำลาย ทำลายอะไร

มันไม่ใช่ความเพ้อเจ้อ มันไม่ใช่ความเพ้อเจ้อจับต้องสิ่งใดไม่ได้ ถ้าจับต้องสิ่งใดไม่ได้มันก็เป็นสัญญาอารมณ์ มันเป็นจินต มยปัญญา ปัญญาของทางโลกเขา จินตนาการมันไม่มีเหตุไม่มีผล มันแล้วแต่ว่า คนมีวาสนามาก วาสนาน้อยแค่ไหน ก็จินตนาการของมันไป แล้วจินตนาการก็จินตนาการตามกิเลส จริตนิสัยของตนมากน้อยแค่ไหนก็จินตนาการตามกิเลสไง ก็กิเลสมันจูงจมูกไง ก็ตามกิเลสกันไป มันก็ได้แต่กิเลสไง

ถ้าได้กิเลสก็ได้แต่การหมุนเวียน เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง ก็หมุนกันไป ทำดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ทำชั่วก็ตกนรกอเวจี ถ้าทำมนุษย์สมบัติมีศีล ๕ ขึ้นมา ก็เกิดมนุษย์สมบัติ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหักเรือน ๓ หลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลูกของมัน ลูกของพญามารไง เรือนยอดก็เหมือนอวิชชา เราได้หักแล้ว การหักอันนั้นนี่สัจจะความจริง

เวลาพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับธรรมะในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาแสดงธรรมๆ ไปแล้วนะ

อัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมแล้วหนอ อัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรมแล้วหนอ

มันเป็นพยานไง มันเป็นชิ้นเป็นอัน มันเป็นสัจจะ มัน เป็นความจริง มันไม่ใช่เลื่อนลอย ไม่ใช่จับสิ่งใดไม่ได้ แล้วเพ้อเจ้อ เพ้อฝันกันไป มันไม่มีหรอก

ถ้าความจริงเป็นความจริงอย่างนี้เห็นไหม ถ้าความจริงอย่างนี้ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เห็นไหม เรามีอำนาจวาสนา เราได้มาประพฤติปฏิบัติ

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่พระพุทธประวัติ ในพระพุทธประวัติมีการศึกษา ชาวพุทธต้องศึกษา พอศึกษาแล้วเราก็เชื่อไง เชื่อว่าสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คือมันมีกิเลส มีอวิชชา มันถึงพาเกิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว เวลาอบรมสั่งสอนขึ้นมา ด้วยอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาสั่งสอน สั่งสอนพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ

พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นคหบดี เป็นผู้ที่สร้างอำนาจวาสนามันถึงมีบารมีไปเที่ยวเล่น ด้วยลูกเศรษฐีไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็ได้ มันเป็นวัยรุ่น มันก็มีความสุข มีความสุขมีความรื่นเริงในการเที่ยวเล่น

แต่เวลาบารมีมันเต็มมาเห็นไหม เวลาบารมีเต็มมาไปเที่ยวเล่นแล้วมันเศร้าหมองมันไม่สุข ไม่มีความสนุกครึกครื้นอะไรเลย ต่างคนต่างมีความคิดเหมือนกัน อย่างนั้นเราจะออกบวช ออกบวชแล้วไปอยู่กับสัญชัย นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่

นี่ไง เวลาที่มันไม่ใช่ เวลามันไม่ใช่เหมือนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ มันไม่ใช่ มันไม่มี เวลามีก็มีเพราะอำนาจวาสนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาเอง จิตแก้จิต จิตแก้จิตขึ้นมาแล้วอบรม สั่งสอนขึ้นมาได้ปัญจวัคคีย์ ได้พระอัสสชิ

พระอัสสชิเวลาไปบิณฑบาต พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปเรียนมากับสัญชัย เรียนมาขนาดไหน นั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ๆ มันก็สัญญา สัญญามันความจำได้หมายรู้ มันก็ปฏิเสธไปอย่างนั้น ปฏิเสธแล้วปฏิเสธเล่าว่าไม่มีๆ ไม่มีก็คือไม่มี แล้วไม่มีอะไรล่ะ ไม่มีแล้วเราก็ทุกข์ไง นี่ไง ไม่มีตัวกู ไม่มีของกู ก็คือกูไง ไม่มีๆ ก็เราทุกข์อยู่นี่ไง ไม่มีๆ ตอมันอยู่นี่ไง มันก็รู้ๆ อยู่ไง

สัญญากันเลย ถ้าใครเจออาจารย์ต้องบอกกันนะ ไปเจอพระอัสสชิ เห็นกิริยามารยาท คนเราถ้ามีอำนาจวาสนามองออก ตามไปๆ จนขอฟังธรรมไง เวลาฟังธรรมพระอัสสชิไง

เราบวชใหม่

บวชใหม่รู้ได้แค่ไหน ก็พูดแค่นั้นแหละ สิ่งที่หน้าที่การใคร่ครวญเป็นหน้าที่ของเราเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไง ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุมันต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุแล้วมีที่มาที่ไปแล้วบอกวิธีแก้ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ไปแก้ที่ต้นเหตุนั้นๆ

ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ เวลาใช้ปัญญาแทงทะลุไป สิ่งที่แทงทะลุขึ้นไปนี่มีดวงตาเห็นธรรม ไปบอกพระโมคคัลลานะ พระโมคคัลลานะก็มีดวงตาเห็นธรรมเหมือนกัน ชักชวนกันไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปบวชไงเวลาบวชแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทศนาว่าการอบรมบ่มเพาะจนสิ้นกิเลสไปหมด สิ้นกิเลส

คำว่าสิ้นกิเลสจากปุถุชนคนหนามันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันมีมรรคมีผลขึ้นมาแล้วทำลายอวิชชาในใจของแต่ละบุคคล จนทำลายพญามาร จนทำให้กิเลสสิ้นไปจากใจๆ นี่เป็นพระอรหันต์ๆ

พระอรหันต์ เวลาพระอรหันต์ สำเร็จเป็นพระอรหันต์มีความสุข วิมุตติสุขๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสวยวิมุตติสุขๆ เวลาเสวยวิมุตติสุขเทศนาว่าการ อบรมสั่งสอนขึ้นมาเห็นไหม ภาระหน้าที่ของพุทธวิสัย เล็งญาณ ออกบิณฑบาต อบรมสั่งสอนประชาชน อบรมสั่งสอนอบรมพระ อบรมสั่งสอนเทวดา อินทร์ พรหม

พุทธกิจ ๕ พุทธกิจ ๕ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา เป็นผู้ขับเคลื่อนธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ไปจนเป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่ยกย่องบูชาของโลก ๓ โลกธาตุ นี่เป็นสัจจะความจริง มันเป็นสัจจะความจริงไง

เวลาสัจจะความจริงขึ้นมา เป็นสัจจะความจริงอย่างนั้น สัจจะความจริงมันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีสัจธรรม มีคุณธรรมในใจอันนั้น เวลามีคุณธรรมในใจอันนั้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมสิ่งใด พระสารีบุตรเข้าใจในธรรมนั้น ถ้าใครฟังธรรมไม่เข้าใจก็ไปถามพระสารีบุตร พระสารีบุตรก็แจกแจงให้ฟัง แจกแจงให้ฟังเสร็จพระก็ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า พระสารีบุตรพูดอย่างนี้ๆ จริงไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเราพูด เราพูดแบบพระสารีบุตรนั่นแหละ

นี่เวลาเป็นพระอรหันต์แล้วไง มันมีความคลางแคลงสงสัยซึ่งกันต่อกันตรงไหน มันไม่มีความคลางแคลงสงสัยซึ่งกันและกันเลย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัด ไม่มีแย้ง แก่กันทั้งสิ้น พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ทั้งสิ้น พระอรหันต์มีคุณธรรมในหัวใจทั้งสิ้น นี่พระอรหันต์

เวลาเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วนะ พระสารีบุตร พระ โมคคัลลานะแสดงธรรมต่อเนื่องค้นคว้าต่อเนื่องไป ถึงเวลาหมดอายุขัย เวลาหมดอายุขัยจะมาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าให้สมควรแก่เวลาของเธอเถิด

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้อยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ไปสั่งให้รีบๆ ไปซะให้สมควรแก่เวลาของเธอสมควรแก่เวลาของคนที่สร้างอำนาจวาสนามามากน้อยแค่ไหน อายุขัยมันมีมากน้อยขนาดไหน เวลามีมากน้อยขนาดไหนแล้ว นี่ไง พระอรหันต์

พระอรหันต์ไม่สงสัยในพระอรหันต์นะ พระอรหันต์ไม่สงสัยในใจของตนนะ พระอรหันต์ไม่สงสัยในเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ตั้งแต่ลูกของมาร หลานของมาร ตั้งแต่นางตัณหา นางอรดี จนพญามาร จนสิ้นกิเลส มันมีมรรคมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันมีเหตุมีผลของมัน มีการกระทำ พระอรหันต์ถึงไม่สงสัยในพระอรหันต์ทั้งสิ้น

แม้ไม่สงสัยในพระอรหันต์ แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกับพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก่อนที่เธอจะไปนะ ให้เธอได้แสดงธรรมแก่พระภิกษุสงฆ์รุ่นหลังรุ่นน้องๆ ของเธอด้วย

พระสารีบุตรเหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมา เหาะขึ้นไปบนอากาศ ลงมา แล้วแสดงธรรมๆ แสดงธรรมจนเป็นที่มั่นใจ จนเป็นที่ในสังคมสงฆ์มั่นคง แล้วลาพระพุทธเจ้าไปนิพพานในห้องที่ พระสารีบุตรเกิดนั่นแหละ ไปเทศนาว่าการเอาแม่จากมิจฉาทิฏฐิมาเป็นพระโสดาบัน จนคร่ำครวญ คร่ำครวญนะ

ไม่รักเราจริง ไม่รักเราจริง ถ้ารักแล้วต้องสอนเรามาตั้งนานแล้ว

แต่ตอนมาโอ! ลูกชายเรานะ ไปบวชตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มาวันนี้คงจะมาสึกล่ะเพราะมิจฉาทิฏฐิไง เวลาพระสารีบุตรกำหนดรู้ว่าโอ้! แม่คิดอย่างนั้น ทั้งที่เศร้าใจนะ อยากจะมาโปรดแม่มาก แม่มีมิจฉาทิฏฐิ เป็นพราหมณ์

พราหมณ์เขาก็เชื่อของพราหมณ์เห็นไหม เชื่ออาตมัน เชื่อการอวตาร เชื่อพรหม เวลาเห็นลูกของตน พระอรหันต์ เห็นไม่มีคุณค่า ลูกของตนเป็นพระอรหันต์ อัครสาวกเบื้องขวา กำหนดหัวใจของแม่ แล้วเข้าไป เข้าไป

มาทำไม

ก็จะมาพัก

เพราะแม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็คิดประสามิจฉาทิฏฐิ ปุถุชน คนหนา เป็นพราหมณ์ เวลาตั้งแต่หัวค่ำเห็นไหม เทวดาลงมาอุปัฏฐาก ดูเวลาอุปัฏฐาก โอ้โฮ! แสงพุ่งเข้ามาในห้องเลย แม่ก็เห็น เห็นกับตานั่นน่ะ วิ่งเข้าไป นั่นใครมาน่ะ

เทวดา

ฮ้า! มีเทวดามาด้วยหรือ

เวลาเทวดามาอุปัฏฐาก เวลาอุปัฏฐากแล้วเพราะว่าพวกเทวดา อินทร์ พรหม นี่ผลของวัฏฏะ ทุกคนก็ต้องการบุญ ต้องการกุศล ต้องการมีอำนาจวาสนาขึ้นมา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิ มีสัมมาทิฏฐิ เห็นถูกต้องดีงาม เวลาเที่ยงคืนเห็นไหม พรหมมา แสงสว่างกว่า อู้! พอผ่านไป เข้าไปถาม

ลูกๆ นั่นใครมา

พรหมๆ พรหม ๔ หน้า นั่นน่ะ มาอุปัฏฐาก

โอ้โฮ!”

เพราะอะไร พราหมณ์เขาเคารพบูชา พรหม ๔ หน้า พรหมนี่สูงสุดของเขา ยังมาสร้างบุญกุศลกับพระสารีบุตรไง มันชักเห็นคุณค่าของพระสารีบุตร เห็นคุณค่าของพระสารีบุตรจิตใจควรแก่การงาน จิตใจมีทิฏฐิมีมานะมีอหังการกลางหัวใจ มันฟัง สิ่งใดอยู่ข้างนอก กูยิ่งใหญ่ กูยอดเยี่ยม แต่เวลามัน เอ๊ะ! มันมีเหตุมีผลเข้ามาเป็นประโยชน์นี่ พอเป็นประโยชน์ ใจควรแก่การงาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เทวดา อินทร์ พรหมต่างๆ เป็นแค่ผู้อุปัฏฐาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอน ๓ โลกธาตุ ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จิตใจที่น้อมลงควรฟังธรรม พอฟังธรรมเห็นไหม ได้บรรลุเป็นโสดาบัน บรรลุโสดาบัน

มันมีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ มันต้องมีการกระทำ มันต้องมีเหตุมีผลของมัน เวลามีเหตุมีผลของมัน จากปุถุชนนะ เป็นพราหมณ์นะ พอเป็นพระโสดาบันเห็นไหม ความคิดมันเปลี่ยนแปลง นี่องค์คุณความรู้ องค์คุณธรรมของพระโสดาบันไง คร่ำครวญ ร้องไห้ ลูกชายไม่รักเราจริง ถ้ารักเราจริง ควรสอนเรามาตั้งนานแล้ว อันนี้เพิ่งมาสอนตอนนี้ไง

เวลาจิตใจจากทิฏฐิมานะ ความเห็นอหังการในตัวตนว่ายิ่งใหญ่ แต่เวลามันพลิกกลับมา จากเป็นธรรมมาแล้วนี่อ่อนน้อมถ่อมตน แล้วเห็นคุณค่าของธรรม จนที่ว่าลูกเราไม่รักเราจริง รักเราจริงต้องแสดง ต้องสอนเรามาตั้งนานแล้ว ถ้ามันเกิดทิฏฐิมันเกิดมานะ มันไปอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้ามันเป็นเรื่องของกิเลส มันเรื่องของกิเลสทั้งสิ้น

นี่พูดถึงเห็นไหม พระอรหันต์ พระโมคคัลลานะ สิ่งที่ว่าเวลาเจ้าลัทธิต่างๆ เขาต้องการทำลายพระพุทธศาสนา เขาทำลายพระพุทธศาสนาเพราะมันไปเตะถ้วยลาภเขา เขาเป็นลัทธิศาสนาดั้งเดิม เขามีคนนับถือบูชาของเขา เขามีลาภสักการะไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ใน ๓ โลกธาตุ มีเราตถาคตเท่านั้นยิ่งใหญ่ มีคุณธรรม มีพระพุทธ พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ มีพระธรรม สัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น มีสงฆ์สาวกที่ได้ประพฤติปฏิบัติแบบพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ ที่ได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วเป็น พระอรหันต์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่ยิ่งใหญ่

สิ่งที่ยิ่งใหญ่ๆ เวลาเจ้าลัทธิต่างๆ ไม่มีคุณธรรม ไม่มีสัจจะ ไม่มีความจริง ไม่แทงทะลุในจิตใจของตน ไม่รู้ว่าเกิด เกิดมาจากไหน เกิดมาทำไม แล้วตาย ตายแล้วจะไปไหนไม่รู้ อวตาร เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่ที่ว่าเขารู้ เขาว่าเป็นยิ่งใหญ่ของเขา เวลาเขาสะเทือนถึงลาภสักการะของเขา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเตะถ้วยลาภเขาเห็นไหม สิ่งต่างๆ ถึงต้องทำลายศาสนา ถ้าทำลายทำที่ไหนก่อน ปรึกษากันว่าต้องกำจัดผู้ที่มีฤทธิ์คอยโปรดญาติโยม ทรมานสัตว์โลกไง ต้องทำลายพระโมคคัลลานะก่อน ไปทำลายพระโมคคัลลานะ ทุบตี จนถึงกับสิ้นชีวิต รวมร่างกายมาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกลับ กลับไปถึงที่เดิมไปคลายออก ตายที่นั่น

นี่พระอรหันต์ แม้แต่ขณะเจ็บ เวลาตีจนกระดูกหัก กระดูกแตก มันยังด้วยฤทธิ์ด้วยเดช ด้วยคุณธรรม ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้สะเทือนอะไรในใจพระอรหันต์ที่สิ้นกิเลสไปเลย นี่คือพระอรหันต์ พระอรหันต์มาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพาน

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วันวิสาขบูชา เกิดในเดือน ๖ เหมือนกัน เกิด ตรัสรู้ ปรินิพพานในวันเดียวกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปนิพพานนะ นี่ไง สั่งสอนอบรมบ่มเพาะไปทั่ว ถึงที่สุดแล้วจะนิพพาน นิพพานแล้วนะ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย จะสิ้นกิเลสไป แล้วไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว จบ ลาวัฏฏะ

เวลาเป็นสัจจะเป็นความจริงเป็นอย่างนี้ แล้วเป็นสัจจะเป็นความจริงอย่างนี้ พระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งของชาวพุทธเรา ชาวพุทธเรา กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญอีกหนหนึ่งๆ เราเกิดมา มีผู้มีบุญมาเกิด ผู้มีบุญมาเกิดคือหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีบุญของท่านพามาเกิด

เวลาท่านมาเกิดของท่านแล้วเห็นไหม ท่านเกิดด้วยอะไร เกิดด้วยอวิชชาไง เกิดด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากไง แต่เกิดอวิชชามันมีบวกแล้วลบไง ลบคือคนที่เกิดมาแล้วเป็นพาลชน เกิดมาแล้วเกิดเป็นมนุษย์แต่ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อ ไม่มีความมั่นคงในการประพฤติปฏิบัติ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเกิดมาแล้ว ท่านสนใจ ท่านใฝ่ใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกิดในประเทศอันสมควร เกิดในภาคอีสาน เกิดในครอบครัวที่ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนา เวลาลูกจะออกบวช ชื่นชมบูชาอยากพึ่งผ้าเหลืองๆ สิ่งนั้นอยาก ได้พึ่งผ้าเหลืองเป็นที่ยึดเหนี่ยว แล้วเอาลูกไปบวชๆ ไง นี่ค้ำชูศาสนาๆ

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ทำสมาธิก็ทำได้ พอทำสมาธิขึ้นไปแล้วนี่จะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนา จะวิปัสสนาอย่างไร นี่ไม่มีครูไม่มีอาจารย์ก็ต้องแสวงหา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ไม่มีเลย ท่านตรัสรู้เองโดยชอบ

แต่ในกึ่งพุทธกาลๆ กึ่งพุทธกาลศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง หนหนึ่งเพราะอะไร เพราะมีธรรมและวินัย มีธรรมะของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่มีใครสนใจ ไม่มีค้นคว้า ปล่อยปละละเลยไง กลายเป็นประเพณีไง โลกเป็นใหญ่ไง กิเลส เป็นใหญ่ไง ความทิฏฐิมานะของคนเป็นใหญ่ไง มันก็เป็นแค่วัฒนธรรมประเพณี ทำเป็นพิธีๆ ไง

เวลาคนจริงคนยิ่งใหญ่มานะ เขาไม่เป็นพิธีล่ะ เขาเอาจริง เขาเอาจริงเขาก็ปฏิบัติจริงๆ ปฏิบัติจริงๆ เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามาๆ ใจสงบระงับแล้วไง หลวงปู่เสาร์เวลาอบรมบ่มเพาะนี่ชักจูงหลวงปู่มั่นมาบวช บวชแล้วเข้าป่าเข้าเขาไป

ในการประพฤติปฏิบัติทุกคนก็แสวงหา ก็ต้องค้นคว้าของท่านเอง ถ้าค้นคว้าของท่านเอง สิ่งที่ว่ารุกขมูล สิ่งที่ว่าเกสา โลมา นะขา ทันตา ตโจ กรรมฐาน ๕ นี่อุปัชฌาย์บวชให้แล้วจะให้มา สิ่งที่ให้มานี่เป็นธรรมและวินัยเป็นศาสดา แต่การค้นคว้า การจิตแก้จิตจะแก้กันอย่างไร เวลาท่านกระทำของท่าน ท่านทำความจริงของท่านนะ เวลาจิตสงบแล้วมันก็สงบแล้ว แล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาไม่ได้ ทำยังไม่ได้ เวลาจะทำให้ได้เห็นไหม ลาพระโพธิสัตว์แล้ว ลาพระโพธิสัตว์ๆ

พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เข้าได้แต่ฌานสมาบัติเท่านั้น พระโพธิสัตว์เข้าสู่อริยมรรค อริยผลไม่ได้ พระโพธิสัตว์เข้าสู่บุคคล ๔ คู่ เข้าสู่โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค เข้าสู่มรรคไม่ได้ เพราะเข้าสู่มรรคแล้วมันจะไปขัดแย้งกับการเป็นพระโพธิสัตว์นั้น

พระโพธิสัตว์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จนกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งพยากรณ์ เขาจะต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต่อไป เพราะพยากรณ์แล้ว ไปเรียงลำดับแล้ว

แต่ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่ได้พยากรณ์ ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ การปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์คือการสร้างสมบุญญาธิการ การสร้างสมบุญญาธิการขึ้นมามีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน พระโพธิสัตว์ที่มีอำนาจวาสนามากมายจะมีบารมีที่ยิ่งใหญ่ ถ้าทำสิ่งใดจะประสบความสำเร็จ พระโพธิสัตว์ที่อำนาจวาสนาน้อย พระโพธิสัตว์เพิ่งเริ่มปรารถนา การกระทำด้วยอภิญญามันยังไม่ชัดเจน ทำไม่ชัดเจนหรือไม่มั่นคง นี่เวลาเป็นพระโพธิสัตว์ๆ ไง

หลวงปู่มั่นท่านก็ปรารถนาเหมือนกัน ท่านก็ลาสิ่งนั้น ท่านลาสิ่งนั้นแล้วเห็นไหม ลาความปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ความปรารถนานี้มันเป็นอำนาจวาสนาบารมี อยู่ในจิตใต้สำนึกลึกๆ เวลามันทำสิ่งใดแล้วมันก็เสียดายอาลัยอาวรณ์ๆ อาลัยอาวรณ์ สิ่งที่ได้ทำมาไง อาลัยอาวรณ์อำนาจวาสนา อาลัยอาวรณ์สิ่งที่ได้สร้างสมบุญญาธิการมา แต่ถึงที่สุดแล้วถ้ามีสติมีปัญญาไง

ถ้าเราต่อไปข้างหน้า ไปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งพยากรณ์ เราก็ต้องทำต่อเนื่องไปจนกว่าจะได้ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เวลาด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการคิดค้นไงถ้าเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่ในชาติปัจจุบันนี้ ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมา ถ้า เป็นความจริงขึ้นมา ก็จะเป็นพระอรหันต์เหมือนกันๆ แต่อำนาจวาสนาบารมีแตกต่างกัน ด้วยความยิ่งใหญ่เท่านั้นเอง

ถึงลาได้ ลาด้วยสติ ด้วยปัญญา แล้วมันก็เป็นการพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไปกึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ ไงมันก็มีผู้มีบุญ มีกุศลมา มีบุญกุศลคือสร้างสมบุญญาธิการมา ปรารถนาเป็น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างสมบุญญาธิการมาเพราะบุญญาธิการนั้นมันเป็นบารมี มันเป็นให้คนได้คิด คิดในสิ่งที่เป็นธรรมๆ แล้วสิ่งที่เป็นธรรม ลาอันนั้นซะ

เวลาประพฤติปฏิบัติด้วยเหตุด้วยผล พอจิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงขึ้นมา พอพิจารณาไปแล้วเป็นขั้นเป็นตอนไป มันเป็นขั้นเป็นตอน มันเป็นขั้นเป็นตอนเห็นไหม เวลาเป็นธรรมๆ แล้วมันไม่มีขัดมีแย้งกัน มันต้องมีเหตุมีผล

เวลาในการศึกษาภาคปริยัติมา ศึกษามา ศึกษามาเป็นแนวทาง ภาคปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าเป็นปริยัติ ปริยัติก็ศึกษาตามตำรา ศึกษาตามวิชาการ ศึกษาวิชาการมาว่าจะเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ธรรมไง ถ้าเผยแผ่ธรรม หลวงตาเวลาท่านถาม เวลาธรรมทูตไปลาท่านไง ท่านบอกว่าจะไปเผยแผ่ จะเอาอะไรไปเผยแผ่ เอากิเลสไปเผยแผ่ หรือเอาธรรมไปเผยแผ่

ธรรมโดยภาคปริยัติ ธรรมโดยภาคปริยัติเป็นความจำ ความจำเป็นทางวิชาการ วิชาการก็เป็นธรรมและวินัยที่เป็นศาสดาของเธอ ถ้าเป็นศาสดาของเธอแล้วเธอปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา นี่เราจะได้เห็นธรรมตามความเป็นจริง

แต่ถ้าเราศึกษามาๆ มันก็เป็นศาสดาอยู่อย่างนั้น มันก็ เป็นปริยัติ มันก็เป็นการจำ ธรรมภาคความจำๆ ถ้าความจำ จำแล้วเดี๋ยวก็ลืม ลืมแล้วเดี๋ยวก็จำ มันเลยต้องติดสมุด ติดดินสอ ติดพระไตรปิฎกไง ติดตำรา ถ้าตำราค้นคว้าก็ค้นคว้ามาไง

เวลาหลวงปู่มั่นท่านลงมาจากเชียงใหม่ เวลาสมเด็จฯ ท่านถามไงท่านมั่นๆ ท่านไปอยู่ในป่าในเขานั้น ท่านไปศึกษาเอากับอะไร เราอยู่ในเมืองหลวง เราอยู่กับพระไตรปิฎก เราอยู่กับตำรับตำรา เรายังต้องเปิด ต้องค้น ต้องคว้า ตลอดเวลาเลย แล้วเธอไปอยู่ในป่า ไปค้นคว้ากับใคร

หลวงปู่มั่นท่านตอบด้วยสัจจะด้วยความจริงไงพระเดชพระคุณ ขออภัย เวลาผมอยู่ในป่าในเขา ผมฟังธรรมตลอดเวลาเลย

เห็นไหม ปริยัติเป็นปริยัติ ปริยัติมันอยู่ที่ตำรับตำราไง ตำรับตำราค้นคว้า คอยเปิดตู้ เปิดหนังสือ เปิดอยู่อย่างนั้น ไอ้สมุดดินสอจดไป จดจนเน่าอยู่นั่นน่ะ นั่นก็ภาคปริยัติ ปริยัติคือปริยัติ เป็นปฏิบัติไปไม่ได้ ปริยัติ ปฏิเวธไม่มี การจำก็เป็นความจำ ภาคความจำ ภาคความจริงสิ

ภาคความจริง เวลาหลวงปู่มั่นอยู่ในป่าในเขาเห็นไหม เราฟังธรรมตลอดเวลา เวลาธรรมมันผุด ธรรมมันเกิด ธรรมมันผุด ธรรมมันเกิด มันเกิดจากวาสนาของคน มันผุดมันเกิดมากน้อย แค่ไหน เวลามันผุดมันเกิดขึ้นมา มันผุดมันเกิดขึ้นมามันเป็นประเด็นให้ได้ใคร่ครวญ ให้ได้คิด

จิตแก้จิตๆ จิตของตนไม่เห็นจิตของตน ไม่เห็น แล้วมันจะเอาอะไรไปแก้ เวลาจะแก้จิต แก้จิตมีวาสนามากน้อยแค่ไหน เวลาหลวงปู่มั่นไปแก้หลวงปู่เสาร์ธรรมมาสถิตที่ตา ธรรมมาสถิตที่ใจสวดมนต์ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง กว่าจะได้ภาวนา

ท่านบอกเอาเลย ภาวนาเลยภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติภาคความจริง ถ้าความจริงมันเป็นความจริงขึ้นมา เวลาเป็น ความจริงๆ มันเป็นความจริงอย่างนี้ไง ถ้าความเป็นจริงอย่างนี้ เวลาความจริงเห็นไหม ถ้าสัจจะเป็นความจริงมันแก้กิเลส

คนมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาประพฤติปฏิบัติไป เราเกิดมาเรามีวาสนา เราอยากจะประพฤติปฏิบัติ แต่เราปฏิบัติ เราเป็นปุถุชน ใครจะปฏิบัติมันเป็นปุถุชนคนหนา ปุถุชนคนหนาเวลาทำสมาธิก็ทำได้ยาก เวลาทำสมาธิแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนากันไม่เป็น ผู้ที่ทำสมาธิๆ นี่ ผู้ที่ว่าจะประพฤติปฏิบัติ ได้แค่นั้น มันไม่เป็นความจริงขึ้นมาๆ เพราะไม่มีอำนาจวาสนา

แต่ถ้ามีวาสนาเห็นไหม หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลา ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาท่านขวนขวาย แล้วท่านพูดไว้กับหมู่คณะไง ต่อไปมันจะมีพระหนุ่มๆ ที่ว่ามีอำนาจวาสนาขึ้นมา บอกหลวงปู่เจี๊ยะไว้ บอกหลวงปู่เจี๊ยะไว้เห็นไหม เวลาใครมา หลวงปู่เจี๊ยะท่านเป็นผู้อุปัฏฐากหลวงปู่มั่น

ใช่องค์นี้ไหม

ไม่ใช่

ใช่องค์นี้ไหม

ไม่ใช่

เวลาหลวงตาท่านมา หลวงปู่เจี๊ยะท่านถามว่าใช่องค์นี้ไหมท่านไม่พูดไม่ตอบเลย แต่ก็หยุดฟังนะ

เวลาหลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นเพราะอะไร เพราะว่าท่านจะออกประพฤติปฏิบัติใช่ไหม ด้วยอำนาจวาสนาของท่าน ใช่ไหม คนที่สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา เวลาศึกษามาๆ ค้นคว้าเข้ามา ค้นคว้าเป็นแนวทางที่จะประพฤติปฏิบัติ เวลาค้นคว้ามาเป็นแนวทางปฏิบัติ เรียนอยู่ ๙ ปี ทำสมาธิจิตสงบได้ ๓ หน มันก็ฝังใจ คนมีพื้นมีฐานมาทั้งสิ้น

เวลามาประพฤติปฏิบัติเอง เพราะเวลาการกระทำถ้าคนมันยังไม่มีกิเลสมาคอยกระตุ้น ก็พุทโธๆ ตามครูบาอาจารย์ไป นั่นแหละ ตามอุปัชฌาย์ แต่เวลาศึกษามาแล้ว ดูจิตๆ ใช้ปัญญา ไปเรื่อย มันก็สงบได้ เวลามันเสื่อมไง เวลามันเสื่อมมันร้อนนัก วิ่งแสวงหาไปหาหลวงปู่มั่นเลย ต้องหลวงปู่มั่นเท่านั้น เวลาไป จิตมันเสื่อม พอจิตมันเสื่อมขึ้นมานะ

มหา มหาสิ่งที่จิตมันเสื่อมไปมันเหมือนเด็กน้อย เหมือนเด็กน้อยเด็กมันต้องการอาหารของมัน พ่อแม่เลี้ยงลูกขึ้นมาด้วยการป้อนนมป้อนขนมนมเนยเพื่อให้ลูกมีความสุข ให้ลูกได้หลับได้นอน ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราดูแลจิตของเราจนจิตมันสงบได้ แล้วเวลามันเสื่อม มันเสื่อมไป มันหายไปไหน ให้กำหนดพุทโธๆ ไว้ กำหนดพุทโธไว้นะ เด็กน้อยที่มันเที่ยวเตลิดเปิดเปิงไป เวลามันหิว มันกระหายขึ้นมา มันจะกลับมาเอง พยายามพุทโธไว้

นี่พูดถึงว่าเวลาคำสอน เวลาปฏิบัติ มันเป็นคำพูดสั้นๆ ง่ายๆ แต่เวลาผู้กระทำ ท่านบอกว่าอกแทบระเบิด มันเคยตัวไง มันปล่อยมันตามสบายไง พอปล่อยตามสบาย มันก็เป็นสมาธิได้ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิแล้วมีสติปัญญา

แต่เวลามันเสื่อมนะ คนเราไม่เคยทำสิ่งใดเลย มันก็ไม่รู้ สิ่งใดเลย พอทำสิ่งใดเลยแล้วมีสมบัติเป็นชิ้นเป็นอัน เวลาสมบัติหายไปมันทุกข์ยากมาก เวลาจิตมันเสื่อมอกแทบแตก เวลาพูด พูดง่ายๆ เวลาทำเกือบเป็นเกือบตาย

แต่ถ้าพุทโธๆ มันก็เป็นจริงๆ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติไปถึงที่สุดแห่งทุกข์ เวลามาพิจารณาไง ท่านบอกว่าสอนเหมือนเด็กๆ มันยิ่งกว่าเด็ก ยิ่งกว่าอนุบาลอีก เขียนหนังสือยังไม่เป็นเลย ทำอะไรก็ไม่ได้เลย จบมา ๙ ประโยค ๑๐ ประโยค จบมาก็คือภาคปริยัติ จบมาก็คือการศึกษาภาคความจำ ภาคความจริงมันไม่มี

ภาคความจริงมันต้องลงทุนลงแรง เพราะภาคความจริงมันต้องชนะกิเลสในใจของตน มันต้องสามารถทำความสงบของใจได้ ถ้าใจสงบระงับเข้ามานี่สัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธิถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้นี่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล นี่มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑

มรรค ๔ ผล ๔ เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสตัณหา ความทะยานอยาก คนเกิดมันต้องมีอวิชชาพาเกิด มีบุญวาสนามากน้อยขนาดไหนก็อวิชชาทั้งสิ้น เพราะมันมีการเกิด พอเกิดมาต้องมีกิเลส เวลามีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะมี การกระทำจนสิ้นสุดแห่งทุกข์เป็นชั้นเป็นตอน พระอรหันต์ไม่มีขัด ไม่มีแย้งกัน

หลวงปู่เจี๊ยะเวลาท่านพิจารณาของท่านพิจารณากาย ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น เวลาท่านเล่าให้ฟังเวลาเราไปหาหลวงปู่มั่น เราเล่าให้หลวงปู่มั่นฟังเลยว่า การพิจารณากายแยกแยะอย่างนี้ หลวงปู่มั่นไม่เห็นคัดเห็นค้านเราเลยท่านพูดให้เราเชื่อมั่นในตัวท่าน แล้วเวลาไปถึงแล้ว แล้วถามหลวงปู่มั่นว่าแล้วจะให้ผมทำอย่างไรต่อไปล่ะ

ก็ทำอย่างเดิมนั่นแหละ ทำอย่างเดิม พิจารณากายต่อเนื่องกันไป

นี่ไง ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริงที่รู้จริงเห็นจริง มันไม่มีขัดไม่มีแย้งกันเลยแหละ สังคมร่มเย็นเป็นสุข พระพุทธศาสนามีศรัทธาความเชื่อ มันก็ระดับของศรัทธา ผู้ที่มีอำนาจวาสนาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ก็มีศรัทธาความเชื่อ ก็พยายามทำความเชื่อตามแต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสั่งสอน หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำความสงบใจเข้ามา

แต่มันมีมนุษย์มหัศจรรย์ไง เขาบอกว่าเขาเกิดมานี่ เขาไม่มีกิเลส เขาเป็นพระอรหันต์มาเกิด พระอรหันต์มาเกิดไง

พระอรหันต์มาเกิดมันก็ไม่มีกิเลสไง แล้วคนไม่มีกิเลสมันมาเกิดได้อย่างไรล่ะ มันก็เป็นเด็กพิเศษไง เป็นมนุษย์พิเศษ พอเป็นมนุษย์พิเศษขึ้นมา เพราะไม่มีกิเลส เวลาโตขึ้นมา มาบวชเป็นพระ มาเป็นครูบาอาจารย์ เวลาอบรมสั่งสอนเขากิเลสเป็นนามธรรม แล้วจะเห็นกิเลสได้อย่างไร

เพราะเขาไม่มีกิเลสไง เขาไม่มีกิเลสเขาก็มาเกิดไง เขา เลยเป็นเด็กพิเศษ เด็กพิเศษก็เป็นออทิสติกไง แล้วอย่างนี้มันก็ต้องให้หมอรักษา รักษาดูแลให้เป็นจริง ทีนี้หมอไม่รักษา มันก็พร่ำเพ้อไปใหญ่โต พร่ำเพ้อไปใหญ่โตเลย ไม่มีกิเลส เป็นผู้วิเศษ เป็นผู้วิเศษขึ้นมา เป็นเด็กพิเศษ เป็นผู้ที่มีวาสนา เพราะยิ่งใหญ่ พอยิ่งใหญ่ขึ้นมาเห็นไหม เวลามาประพฤติปฏิบัติ เวลาศึกษามา ก็ศึกษามาจากพระไตรปิฎกนั่นแหละ มันเป็นทฤษฎี มันเป็นธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ถ้าเป็นจริง ถ้าเคารพธรรมนะ นี่ไง ถ้าครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติ อย่างน้อยถ้าเป็นพระโสดาบันนะ ไม่ลูบไม่คลำในศีล ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือนอกพระพุทธศาสนา จะซื่อตรง มีแต่ความสัจ มีความจริง ลงต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เด็ดขาด แน่นอน แล้วไม่มีการลังเลสงสัยในพระพุทธศาสนา

แต่ถ้าเด็กพิเศษนี่เพราะมันเป็นมนุษย์พิเศษ พอพิเศษขึ้นมาแล้วนี่สิ่งที่จะทำเราไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสนะแล้วสิ่งที่ไม่มีกิเลส ไม่มีกิเลสก็เป็นเรื่องส่วนตัวไง แต่เวลาอบรมสั่งสอน ทำไมอ้างพระพุทธศาสนาล่ะ เวลาอ้างพระพุทธศาสนาขึ้นมาแล้วเห็นไหม พระพุทธศาสนาบอกต้องศึกษาต้องทำสมาธิ ต้องหลับตาลืมตา

ไอ้หลับตาลืมตามันเกี่ยวอะไรกับสมาธิ สมาธิมันมีมาก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ อุทกดาบส อาฬารดาบส สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ นี่คนที่ถือสมาธิ สมาธินี่เป็นสมาธิ มันก็เป็นสมาธิ มันเกี่ยวอะไรกับหลับตาลืมตา

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านรู้ มันเกี่ยวกับความโลภ ความโกรธ ความหลงต่างหาก มันเกี่ยวกับหลงผิด เกี่ยวกับโทสะทำได้หรือทำไม่ได้ มันเกี่ยวกับความหลง หลงใหลได้ปลื้มว่าอันนี้เป็นความสงบ อันนี้เป็นความสงบ หลงใหลไปหมด มันไม่เกี่ยวกับหลับตาลืมตา

เพราะเป็นเด็กพิเศษ เป็นผู้เกิดมาโดยไม่มีกิเลส มันก็เลยไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง แล้วหลับตาทำสมาธิไม่ได้ ลืมตานี่ โอ้โฮ! มันจะเป็นสมาธิ

ลืมตา เพ้อเจ้อไป สมาธิอะไร ความเพ้อฝันอย่างนั้นหรือ นี่ไง เพราะเพ้อเจ้อเพ้อฝันแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วก็ความเชื่อของตนไง

เอาความเชื่อ เอาความเห็นของตน เที่ยวพยายามชักชวนให้คนเชื่อ มันก็เลยกลายเป็นโฆษณาชวนเชื่อ แล้วโฆษณาชวนเชื่อ ตัวเองบอกว่า ไม่มีกิเลสมาเกิด เพราะไม่มีกิเลสก็เลยลืมตาทำสมาธิ

แล้วคนอื่นล่ะ คนที่มาเกิด เกิดกันอยู่นี่มีกิเลสไหม แล้วคนที่เขามาศึกษา มาค้นคว้ากับเรา มันมีกิเลสไหม มันมีกิเลส มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากก็เลยเห็นผิดไง กิเลส คือความโลภ ความโกรธ ความหลง นี่เป็นขี้ แล้วมีอวิชชาความไม่รู้ อวิชชาความไม่รู้ขึ้นมา มาวิเคราะห์วิจัยในพระพุทธศาสนา แล้วมันจะรู้จริงได้อย่างไร ถ้ามันรู้จริงไม่ได้ มันรู้จริงไม่ได้ขึ้นมา มันก็เลยกลายเป็นการชวนเชื่อ สมาธิชวนเชื่อไง ต้องลืมตา

ลืมตาหลับตาไม่มีผลสิ่งใดเกี่ยวพันกับสมาธิ สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา หลับตาลืมตามันก็เป็นเรื่องของร่างกาย มันไม่เกี่ยวอะไรกับสมาธิ สมาธิไม่เกิดที่ตา สมาธิมันเกิดที่จิต

เพราะมันทำสมาธิไม่เป็น มันถึงบอกว่าลืมตาทำสมาธิแล้วได้รู้ได้เห็น ได้มีสติปัญญาปัญญาอะไร ปัญญาที่ไหน แล้วยังมีโลกียะ โลกุตตระอีกนะ โลกียะจะยกขึ้นสู่โลกุตตระ

มันเป็นการเพ้อเจ้อ เป็นการชวนเชื่อ เป็นการโฆษณา ชวนเชื่อ ชวนเชื่อเพราะอะไร ชวนเชื่อเพราะไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักที่มาที่ไป เพราะเราไม่มีกิเลสไง เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี กิเลสไม่มี แล้วภาวนาต้องลืมตา ต้องค้นคว้าไปในสมุด ดินสออย่างเดียว ต้องมีการท่องบ่น มันปริยัติ ปริยัติมันเป็นปฏิบัติไม่ได้

เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงตาพระมหาบัว หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นมหานะ เวลาเป็นมหาขึ้นมาแล้ว เวลาศึกษามาแล้วก็อยากประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เวลาออกประพฤติปฏิบัติ ขึ้นไป เริ่มต้นไปหาหลวงปู่มั่นไง หลวงปู่มั่นท่านสอนเลย

มหา มหาท่านเรียนถึงมหามานะ มหา สิ่งที่เรียนมา บาลีนั่น ที่เรียนมาเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นตัวแทนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยอดเยี่ยมดีงามมาก ต้องเทิดใส่ศีรษะไว้ ลั่นไว้ในลิ้นชักสมอง อย่าให้ออกมา แล้วพยายามประพฤติปฏิบัติไป ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมาแล้วมันจะเป็นอันเดียวเลย ถ้ามันเป็นจริง

แต่เด็กพิเศษมันไม่มีกิเลส มันจะเป็นจริงตรงไหน มันไม่จริงของมันเห็นไหม

เวลาหลวงปู่มั่นท่านสอน สอนบอกว่า ถ้ามันประพฤติปฏิบัติไปมันจะเตะ มันจะถีบกัน มันจะขัด มันจะแย้งกัน มันจะจินตนาการ มันจะเพ้อเจ้อ แล้วคาดหมาย ปฏิบัติธรรมโดยคาดโดยหมาย แล้วการโดยคาดโดยหมาย ไม่มีจุดใดเป็นความจริง ไม่มีจุดใดแดนใดที่เป็นการเห็นกิเลส เป็นการชำระล้างกิเลส เป็นการมีมรรคมีผลขึ้นมาในใจมันไม่มี เพราะอะไร

มันไม่มีเหตุมีผล มันไม่มีที่มาที่ไป เวลามันไปมันถึง เลื่อนลอยไง พอเลื่อนลอยแล้วก็พลิกแพลง นี่ไง ก็ชวนเชื่อ เพื่อการโฆษณาชวนเชื่อ สมาธิชวนเชื่อๆ แล้วพยายามจะชวนเชื่อ ให้เขาเชื่อนะ แล้วบังคับให้เขาทำตามด้วยนะ บังคับทำตาม ทำตามไปไหน

ตามไปเป็นอภิญญา ตามไปสิ่งที่เป็นตรรกะ มันเป็นตรรกะ เป็นการคาดหมาย มันเอาความจริงมาจากไหน มันไม่มีความจริงเลยเพราะอะไร

เพราะมันไม่เห็นจริงไง เพราะมันเป็นมนุษย์พิเศษ เกิดมาไม่มีกิเลสแล้วไง กิเลสไม่มี แล้วมาศึกษามาเล่าเรียน แล้วเล่าเรียนไว้เพื่ออบรมบ่มเพาะให้คนอื่นเป็นเหมือนเรา แล้วคนที่เขาเกิดมา เขาไม่มีกิเลสเหมือนกันใช่ไหม เขาต้องลืมตาอย่างนั้นเลยหรือ

ลืมตากับหลับตาไม่มีผลในการปฏิบัติ มันอยู่ที่จริตนิสัย จริตนิสัยของคนเห็นไหม คนเดินจงกรมส่วนใหญ่เดินจงกรมเขาก็ลืมตาทั้งนั้น คนนั่งสมาธิเขาก็ลืมตาของเขาได้ แต่เขาหลับตาก็ได้ การหลับตาลืมตามันเป็นแค่กิริยา

แต่ถ้ามันจะเป็นความสงบ สงบจากจิต ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สมาธิสงบมากสงบน้อยแค่ไหน ถ้ามันสงบมากขึ้นมาก็มีความสุขมากไง

เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีความทุกข์ความยาก เวลากิเลสมันเพ่นมันพ่าน กิเลสมันดิ้นมันรนขึ้นมา มันฉุดกระชากลากหัวใจไปทั้งสิ้น กรรมฐานม้วนเสื่อ กรรมฐานม้วนเสื่อเพราะอะไร เคยทำความสงบได้ก็คิดว่านี่เป็นมรรคเป็นผล

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ ความสงบระงับคิดว่าเป็นมรรคเป็นผลไง เวลามันเสื่อมไปแล้วไง มันเร่ามันร้อนไง สิ่งที่เขาอยู่กันไม่ได้ ในพระพุทธศาสนา เขาอยู่กันไม่ได้ด้วยที่ไม่มีครูบาอาจารย์ ด้วยที่ไม่มีใครคอยควบคุมดูแล ไม่มีใครคุ้มครอง

เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านทำของท่าน ท่านทำเห็นไหม หลวงตาพระมหาบัวท่านยืนยันว่า หลวงปู่มั่นเป็นโรงงานที่ยิ่งใหญ่ โรงงานผลิตพระอรหันต์ โรงงานสร้างธรรมทายาท แล้วธรรมทายาทขึ้นมา การสร้างธรรมทายาทมันมีแบบอย่าง พอมีแบบอย่างผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมาแล้วมันเป็นแบบอย่างเดียวกัน

ถ้าเป็นแบบอย่างเดียวกัน มรรค ๔ ผล ๔ ไง ถ้ามันเป็นแบบอย่างเดียวกัน มันไม่ขัดไม่แย้งกัน มันจะขัดมันจะแย้งกันตั้งแต่ว่าผู้ที่มีคุณธรรมน้อย คิดว่าให้คะแนนตัวเองมากเกินไป มันผิดพลาด ผิดพลาดตรงนั้น ถ้าผิดพลาดตรงนั้นมีครูบาอาจารย์ท่านก็อบรมสั่งสอน ท่านก็แก้ไข จิตแก้จิตๆ

หลวงปู่มั่นท่านทำของท่านมาก่อน ท่านเอาชนะกิเลสของท่านมาก่อน ท่านรู้ของท่านทั้งสิ้น ฉะนั้น สิ่งที่เป็นจริงมันเป็นจริง นี่ผลของวัฏฏะ พระอรหันต์ก็เป็นพระอรหันต์จริงๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาสิ้นกิเลส เวลานิพพานไปแล้วไม่มีมาเกิดอีกหรอก ไม่มี!

แต่ที่ว่าเราไม่มีกิเลส เรามาเกิดอีกมันก็เหมือนไก่ไง ไก่ ไก่มันต้องผสมพันธุ์ ผสมพันธุ์แล้วถ้ามันมีเชื้อมันก็จะฟักออกมาเป็นไก่ได้ ไก่ถ้ามันไม่ได้ผสมพันธุ์ มันไข่ มันเป็นไข่ลม ไข่ลมนะ ฟักไม่เป็นตัวหรอก ฟักอย่างไรก็ฟักไม่ได้

เวลาครูบาอาจารย์ของเรานี่ไก่ป่าๆ เวลาไก่ป่าขึ้นมา มันเข้มมันแข็งของมัน เวลาไก่ป่าเห็นไหม ไก่ป่ามันผสมพันธุ์อยู่ในป่า มันเลี้ยงฝูงของมัน เลี้ยงลูกของมันจนเติบโตขึ้นมาอยู่ในป่าในเขา มันทนต่อโรค มันต้องแสวงหา หาอยู่หากินของมัน นี่ไก่ป่า

ไก่บ้านๆ ไก่บ้านเขาเลี้ยงดู เขาฟูมฟักขึ้นมา เขาต้องการเนื้อมัน เขาผสมพันธุ์ขึ้นมาให้มันเติบโตเร็ว ต้านทานโรคให้มัน มันอ่อนแอ มันต้านทานโรคไม่เหมือนไก่ป่า การหาอยู่หากินถ้า ไม่มีใครเลี้ยงดูมัน มันอยู่ไม่ได้ มันตาย ถ้ามันแสวงหาๆ แสวงหา มันปรับปรุงไปจากถ้าไก่ป่ามันไม่มีเจ้าของดูแลมัน มันก็ต้องพยายามปรับปรุงตัวมัน จนเป็นไก่ป่าจนได้ นี่ไก่ป่าๆ

ไอ้ไก่ไข่ลมนี่ซี่ มันเป็นไข่ลม แล้วมันฟักออกมาเป็นตัว ก็เราไม่มีกิเลสไง ไม่มีกิเลส ไข่ไม่ได้ผสมพันธุ์ ไข่ลมมันฟักเป็นตัวได้อย่างไร แต่ของเขา เขาว่าเขาเป็นไก่ไข่ลมนะ ไก่ไข่ลมมันก็ไก่พวกกระเบื้องเขาไปบูชาถวายตามศาลเจ้า ศาลเจ้านั่นไก่ไข่ลม มันไม่มีชีวิตหรอก เหมือนกัน พอมันเป็นไก่ไข่ลมเห็นไหม

ไก่ ไก่ป่ามันต้องหาอยู่หากินนะ มันต้องพยายามรักษาชีวิตไว้ เพราะมันมีสัตว์นักล่า แล้วมันมีมนุษย์ที่พยายามล่าสัตว์ เขาหลบเขาหลีกเพื่อชีวิตของเขา หาอยู่หากินขึ้นมา เขาหลบหลีก ถ้าไปเจอคนล่ามันก็ต้องหนี แล้วหนีขึ้นมามันหนีเอาตัวรอดให้ได้ ไก่ที่มีชีวิต ไก่ที่เป็นไก่ป่ามันมีความทรหดอดทน ทนโรคทนต่างๆ ด้วยคุณสมบัติของมัน ด้วยสายพันธุ์ของมัน

นี่ก็เหมือนกัน พระกรรมฐานๆ มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นแบบอย่าง มีครูบาอาจารย์ท่านเป็นแบบอย่าง เรามีสายพันธุ์ สายพันธุ์พระกรรมฐาน

ไก่บ้านๆ เขาก็ศึกษาๆ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อจะมีองค์ความรู้ๆ ไง มันอ่อนแอ มันไม่เหมือนกรรมฐานที่ธุดงค์ ที่ผ่านวิกฤติของชีวิต ที่ผ่านอำนาจวาสนาบารมีต่างๆ เพื่อพิสูจน์บารมี พิสูจน์หัวใจของตน แล้วค้นคว้าหากิเลสตัณหาความทะยานอยาก มีการกระทำให้เป็นความจริงขึ้นมา

ไก่ไข่ลมมันไม่มีชีวิต ตั้งไว้มันก็เสียหาย ก็เป็นการหลับตาลืมตา หลับตาลืมตาอยู่อย่างนั้น มันไม่ได้จิกข้าวจิกแมลงจิกอะไรกินเข้ากระเพาะเลย เพราะอะไร

นี่ไง หลับตาลืมตา มันเกี่ยวอะไรกัน โฆษณาชวนเชื่อไง ชวนเชื่อไปเรื่อย ไก่มันต้องหาอยู่หากินนะ ไก่ถ้าสายพันธุ์ของมัน มันจะดำรงพันธุ์ของมันนะ มันมีฝูงของมัน มันการกระทำของมันไง ถ้าไก่บ้านเขาก็ศึกษาไป ศึกษาสักแต่ว่าเป็นความรู้ๆ ไง แต่ ไข่ไก่ลมเนี่ยสิ หลับตาลืมตานะ จะเป็นไก่ป่าก็ไม่ได้เป็น

เพราะเวลาไก่ป่าเห็นไหม เขาทำความสงบใจเข้ามา ถ้าเป็นสมาธิสัมมาสมาธิ ถ้าทำสมาธิขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบระงับแล้วมันมีความสุขนะ

ทุกข์คืออริยสัจ ทุกข์คือความจริง ชาติปิ ทุกฺขา การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ชีวิตมีความทุกข์มันเป็นอริยสัจอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครเคยรู้จักทุกข์และเห็นทุกข์เลย ได้แต่ขี้ทุกข์ ขี้ทุกข์ หมายความว่า กิเลสมันขับถ่ายแล้วให้เราทุกข์ร้อนอยู่นี่ไง

สังคมไทยๆ เห็นไหม ชาวพุทธ ชาวพุทธที่ทะเบียนบ้านเขาบ่นว่าทุกข์ว่ายากนะ แต่ทุกข์ยากเพราะการหาอยู่หากิน การหาอยู่หากินมันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แค่เขาหาปัจจัยเครื่องอาศัยเขาก็ทุกข์ก็ร้อน แล้วก็บ่นว่าทุกข์ๆ แล้วไม่ไปไหนนะ ชอบ พอใจกับยศถาบรรดาศักดิ์ โลกธรรม ๘ บ่นอยู่อย่างนั้น ก็ชอบอยู่อย่างนั้น นี่พูดถึง มันเป็นประจำธาตุขันธ์ ประจำชีวิต แต่เขาไม่มีอำนาจวาสนาไง

เวลาไก่ป่า ครูบาอาจารย์ท่านสอนไง ทำความสงบใจ เข้ามาก่อน ทำความสงบใจเข้ามาก่อนเพราะชีวิตมันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยากเห็นไหม ด้วยสัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์ เราก็มองอยู่แล้วว่าทางโลกที่มันเจริญ ทางโลกที่มันอุดมสมบูรณ์ ที่มันสะดวกสบาย ไอ้นั่นก็จะเป็นความสุข ถ้าเป็นความสุขขึ้นมาแล้วมันก็จะทำให้ประมาทกับชีวิต แล้วพอประมาทกับชีวิต กิเลสมันก็หลอกมันก็หลอน นี่กิเลสไง

ไอ้ไก่ไข่ลมไม่มีชีวิต มันบอกมันไม่มีกิเลส เวลากิเลส มันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกมันลวงในหัวใจไง มันหลอกมันลวง ในหัวใจมันว่านู่นก็จะสุข นู่นก็จะสบาย นู่นก็จะดี ไปที่นั่นแล้ว มันจะภาวนาดี มันหลอกมันลวงอยู่อย่างนั้น แล้วมันหลอกมันลวง อยู่อย่างนั้นแล้วยังตามมันไปๆ ไง

เวลาตามมันไปขึ้นมา มันทุกข์มันยาก มันทุกข์มันยาก กับชีวิต มันทุกข์มันยากมาก กิเลสมันคายพิษออกมาในใจ มันทุกข์มันยากทั้งสิ้น เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาทั้งสิ้น สิ่งผู้ที่ปฏิบัติใหม่ๆ พระบวชใหม่ๆ สิ่งที่ทนได้ยากคือทนคำสั่งสอน คำสั่งสอน เห็นไหม เพราะกิเลสมันดิบๆ กิเลสมันพอกพูนในหัวใจไง

คนเกิดมามีอวิชชา คนเกิดมามีกิเลส ไม่ใช่คนไม่มีกิเลสแล้วเกิด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เวลาท่านนิพพานไปแล้วไม่มาเกิดหรอก ไม่มี พระอรหันต์ไม่เกิด ถ้าเกิดไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะเป็นพระอรหันต์ต้องทำลายอวิชชา อวิชชาคือความหลง แล้วมันมีวิชชา มันมีวิวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะ มันจะกลับมาวัฏฏะได้อีกอย่างไร ถ้าเป็นพระอรหันต์

แต่นี่เขาบอกเขาไม่มีกิเลส เขามาเกิดเกิดนั่นล่ะอวิชชา เกิดอวิชชาเต็มหัวใจอยู่แล้ว ไม่มีอวิชชามาเกิดไม่ได้ เพราะมันไม่รู้ มันเผลอ มันมาเกิด เวลาเกิดขึ้นมาแล้วมันทุกข์มันยากไง เวลามันทุกข์มันยากด้วยที่ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีวาสนาเลย ถึงบอกว่าหลับตาลืมตา หลับตาลืมตา สมาธิยังไม่รู้จัก จิตของตนยังหาไม่เป็น จิตของตนยังหาจิตของตนไม่ได้

จิตแก้จิต จิตแก้จิต แล้วจิตแก้จิตแล้วพอจะแก้แล้ว มรรค ๔ ผล ๔ นะ เริ่มต้นวิปัสสนา โอ้โฮ! งานมันอีกมากมายมหาศาล สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาญาณ

โอ้โฮ! เขาละเอียด โอ้ย! ท่องจำจนสมุดเน่า แล้วมันเรื่องสัญญาอารมณ์ สายตาแล้วจดในหนังสือ แล้วตรรกะเท่านั้น ตรรกะคิดใคร่ครวญไป แล้วมันพลิกมันแพลงเพราะอะไร

เพราะมันมีหยาบมีละเอียด อารมณ์ดีคิดได้ดี อารมณ์ ขุ่นมัวคิดไม่ได้ หลับตาลืมตาอีกต่างหาก สมาธิชวนเชื่อ ชวนเชื่อชักนำให้คนหลงผิด เสียดายการเกิดเป็นมนุษย์

การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้ามันมีอำนาจวาสนา มันทำตามสัจจะความจริง สัจจะความจริงเห็นไหม คนเราก็มีความทุกข์ความยากอยู่แล้ว แล้วเวลากิเลสมันขี้รดในหัวใจทุกข์ยากมาก เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมาเห็นไหม เวลามาบวชเป็นพระ ฆราวาส ฆราวาสมาบวช เป็นพระเป็นนวกะ นวกะสิ่งที่ทนได้ยากคือทนคำสั่งสอนได้ยาก

ยิ่งครูบาอาจารย์ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านยิ่งเข้มข้นเข้มงวด เพราะท่านเห็นภัยของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ท่านเห็นภัยของคนเกิด คนเกิดต้องมีกิเลส ถ้ากิเลส กิเลสมันมีลูกมีหลาน พญามารไง มีนางตัณหา นางอรดีไง เรือน ๓ หลังไง มีลูกมีหลานไง แล้วลูกหลานแค่มันยั้วเยี้ยๆ ในหัวใจ ไปไหนไม่รอดหรอกๆ แล้วถ้าไปไหนไม่รอดแล้วจะทำอย่างไรๆ

ข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ของใจ คำว่าเครื่องอยู่ใจอยู่ที่ไหน จิตมันอยู่ที่ไหน แล้วเวลาจิตมันส่งออกๆ ไป ส่งออกไป ๓ โลกธาตุ คิดร้อยแปด เรื่องบ้าบอคอแตก ศึกษาธรรมะของ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ศึกษาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เวลาศึกษามาถ้าไม่พอใจบอกว่า อันนี้อรชุนมัน แต่งมา ถ้ามันพอใจบอกว่าอันนี้พอใจ พอใจคือความชอบเฉยๆ นะ มันยังไม่ได้เกิดปรากฏขึ้นมาจากจิตเลย เพราะมันยังไม่เห็นจิตของมัน

ถ้าเห็นจิตของมัน นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาก่อน เวลาท่านล้มลุกคลุกคลานมา เวลาหลวงปู่เสาร์ท่านเอาหลวงปู่มั่นออกวิเวก ออกปฏิบัติ ออกธุดงค์ครั้งแรก เขาดูถูกเหยียดหยาม เขาไม่เชื่อไม่ถือศรัทธาเลย แล้วท่านก็ไม่ได้ให้ใครเชื่อถือให้ใครศรัทธา ท่านต้องการค้นหาหัวใจของท่านให้เจอ แล้วท่านค้นหาวิธีการของท่านด้วยการกระทำของท่านไง คือการกระทำ คือภาคปฏิบัติไง เวลาปฏิบัติแล้วมันยังล้มลุกคลุกคลานขึ้นมา ถ้ามันจะลึกซึ้งกว่านี้ได้มากน้อยขนาดไหนไง ก็มาปรึกษากับเจ้าคุณอุบาลีฯ ไง

เวลาเจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นนักปราชญ์ในภาคปฏิบัติ ใน ธรรมและวินัย ธรรมวินัยขึ้นมาภาคปฏิบัติกับภาคปริยัติทดสอบด้วยกัน ค้นคว้าแสวงหาด้วยกัน แล้วเวลาค้นคว้าแสวงหาด้วยกัน จิตสงบแล้ว ถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้หรือไม่ได้ ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วเห็นกาย เห็นกายพิจารณากายไปแล้ว เอ้อ! มันต้อง อย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้สิ มันต้องอย่างนี้สิเพราะอะไร

ทำความสงบของใจเป็นสมาธิ ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา คือ จิตเห็นอาการของจิต เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง เวลาเห็นจิต เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นตามความจริง เพราะการเห็นจิต เห็นกายตามความจริง นั้นคือภาคของปัญญา

เวลาปัญญา ปัญญามันเกิดมาจากไหน ปัญญามันเกิดจากจิตที่เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิมันมีสัมมากับมิจฉา มันมีถูกหรือผิด เวลามันผิดขึ้นมานั่นคือความโลภ ความโกรธ ความหลง มันครอบมันงำ ไอ้หลับตาลืมตาไม่เกี่ยว หลับตาลืมตาไม่มีผลกับสมาธิ ไม่มีผลกับการปฏิบัติ ไม่มี ถ้ามันจะมีผล ก็มีผลแบบมิจฉา กับสัมมา ผิดกับถูก

แล้วทำขึ้นมาแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ตามเป็นจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่สมาธิชวนเชื่อ ตัวเองไม่มีกิเลสมาไง ไม่มีกิเลสเลยมาเกิด เกิดมาสร้างบารมีก็เลยหลับตาลืมตา แล้วก็เลยบังคับเขาทั้งหมดเลย ให้เถ่ออยู่อย่างนั้น แล้วลืมตามีประโยชน์ด้วย เดินจงกรมเข้ามานะ เก็บหญ้าเก็บแมลง โอ้โฮ! มันเป็นภาคปฏิบัติ

ภาคปฏิบัตินะ เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัตินะ เวลาเกิดโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค ปัญญามันหมุนติ้วๆ ธรรมจักร ธรรมจักรที่มันหมุนแล้ว จักรที่มันเคลื่อนที่ ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันเกิดขึ้นมา

โดยธรรมชาติของกิเลสมันเป็นกงจักร มันกงจักร มันทำลายทั้งสิ้น ทำลายทั้งตัวเราเอง ทำลายทั้งหมู่คณะ ทำลายทั้งสิ่งที่มันไปยึดเหนี่ยว ไปยึดมั่นถือมั่น ทำลายทั้งสิ้น ต้องทำ ความสงบของใจเข้ามาก่อน ดับกงจักรนั้นให้ได้ก่อน

ถ้าดับกงจักรได้ ถ้ามันถูกต้องดีงาม เป็นสัมมาสมาธิ เป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็สงบร่มเย็นเข้ามา ถ้าอำนาจวาสนามันไม่มี เวลาทำแล้วมันร่มเย็นขึ้นมาไม่ได้ สักแต่ว่า สักแต่ว่า มันเข้ามาไม่ได้หรอก สักแต่ว่า สักแต่ว่า มันอยู่ข้างนอกไง จิตมันไม่กลับเข้าสู่คูหาของมัน จิตมันไม่เข้ามาสู่ตัวของจิต

จิตเข้ามาสู่ตัวของจิตนะ นี่สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ การยกขึ้นสู่วิปัสสนา ด้วยปัญญา ปัญญาเกิดจากสัมมาสมาธิ

ถ้าไม่มีสัมมาสมาธิ ปัญญาเกิดเป็นสัญญาทั้งสิ้น สัญญา คือความจำได้หมายรู้ แล้วถ้าเป็นปุถุชนสังขารความคิดก็ความคิดของกิเลสไง ความคิดของสมาธิชวนเชื่อไง สมาธิชวนเชื่อ ลืมตา ให้ชวนเชื่อ ท่องบ่น ท่องจรณะ ๑๕ ๒๐ ๓๐ ขึ้นมาแล้วกิเลส มันอาย กิเลสจะไม่เข้ามาใกล้ อ้าว! ก็ท่านไม่มีกิเลส มันก็เป็น อย่างนั้นสิ แต่คนอื่นเขามีกิเลส คนอื่นเขามีกิเลส

กิเลสเห็นไหม กิเลสมันปลิ้นมันปล้อน มันหลอกมันลวง แล้วไอ้คนอื่นที่มาปฏิบัติ เกิดมาไม่มีกิเลสเหมือนกันใช่ไหม ไม่มีกิเลสถึงมาเกิดใช่ไหม แล้วพอมันไม่มีขึ้นมา แล้วมันก็ราบรื่นไปหมดเลย ลืมตาแล้วมันพลิกมันแพลงรู้แจ้งเห็นจริงไปหมด แล้วท่องบ่นเอานะ ศึกษาค้นคว้าแล้วกิเลสมันอาย กิเลสมันไม่เข้าใกล้

ไม่เคยเห็นกิเลสเลย ไม่เคยเห็นจิตเห็นอาการของจิต จิตไม่เคยเห็นสัจจะความจริงขึ้นเลย มันก็เลยเป็นการชวนเชื่อ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อนะ

ทางโลกเขา ฝ่ายประชาสัมพันธ์ๆ ไง เขาบอกว่าด้อยประชาสัมพันธ์ สินค้าถ้าไม่มีคุณภาพ ประชาสัมพันธ์อย่างไร มันก็ได้รอบเดียวเท่านั้น รอบสองไม่มีใครมาสนใจหรอก เพราะ มันต้องมีคุณค่าในทางสินค้านั้น การโฆษณานั้น การทำนั้น มันถึงจะเป็นผล

แล้วเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่เคยโฆษณา ท่านให้เป็นสัจจะให้เป็นความจริง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วเทศนาว่าการแล้ว พระอรหันต์ ๖๐ องค์ เธอกับเราพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ มันไม่ติดไม่ข้อง ไม่ต้องการอะไรเลย มันเป็นเมตตาธรรม มันเป็นกรุณาธรรม เมตตากรุณาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ รื้อสัตว์ขนสัตว์ พุทธกิจ ๕ ไม่มีเวลาส่วนตัวเลย เพื่อประโยชน์กับ ๓ โลกธาตุ

มันจะไปโฆษณาชวนเชื่อมาจากไหน มันไม่มีการโฆษณาชวนเชื่อ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นสัจจะ เป็นอริยสัจ สัจจะความจริงไง เป็นพระโสดาบันไปไม่ลูบคลำในศีลแล้ว ไม่ถือมงคลตื่นข่าว จะลงต่อธรรมะ ลงต่อธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีการขัด ไม่มีการแย้ง ไม่มีการเย่อ ไม่มี การหยิ่ง ไม่มีการจองหองพองขน กิเลสอย่างละเอียดมันมีแต่มา ทิ่มตำหัวใจ แต่คุณธรรมของพระโสดาบันมันเคารพบูชา เพราะอะไร เพราะไม่ลูบคลำไง มันจริงจังไง

เราเป็นปุถุชนคนหนา เราถึงจับจดไง เราทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอัน จับแล้วจับเล่า จับแล้วปล่อย ปล่อยแล้วจับ จับแล้วเคลื่อนย้าย เคลื่อนไปไว้ตรงนั้น ไม่เคยทำได้ให้มันเป็นชิ้นเป็นอัน ทำสัมมาสมาธิได้นี่ปุถุชนเป็นกัลยาณชนไง ถ้าเป็นกัลยาณชนมันเป็นที่จิตไง จะหลับตาจะลืมตา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิทำให้มันถูกต้องดีงามขึ้นมา เป็นสมาธิก็คือสมาธิ สมาธิแก้กิเลสไม่ได้

แล้วพอเป็นสมาธิแล้วโอ้โฮ! นิพพานเป็นอย่างนี้เองนิพพานที่ไหน คนมันอ่อนด้อย ปัญญามันอ่อนด้อยไง พอไปเห็นความเวิ้งว้าง เห็นสัญญาอารมณ์ อารมณ์ว่างเท่านั้น มันยังไม่เป็นจริงไง

มันต้องบริกรรมมากเข้าไป บริกรรมละเอียดเข้าไป จนมันเป็นตัวพุทโธเอง พุทโธๆๆ ทีแรกมันก็ขัดมันก็แย้ง มันคิดแล้วมันก็แฉลบไปนู่น แฉลบไปนี่ แต่ถ้ามีวาสนานะ เราพยายามของเรา เราทำบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่าให้ความโลภ อยากให้มันเป็นไง อย่าให้ความโกรธโทสะว่า เราทำแล้วไม่ได้เลย อย่าให้ความหลง หลงในอารมณ์ของตัวเองนะ

ความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาความทะยานอยาก มันพลิกมันแพลง มันทำให้สมาธิเป็นสมาธิไม่ได้ไง มันไม่มีหลับตาลืมตาหรอก มันมีกิเลส กิเลสคอยปลิ้นคอยปล้อน คอยหลอกคอยลวง หลอกลวงศากยบุตรนี่แหละ หลอกลวงชาวพุทธ นี่แหละ หลอกลวงพระด้วย พระปฏิบัตินี่กิเลสมันหลอก หลอกให้หลงให้ใหล หลอกให้พลิกให้แพลง หลอกให้ถอยหน้าถอยหลัง หลอกให้เป็นกรรมฐานม้วนเสื่อ

กิเลสมันหลอกทั้งนั้น มันเกี่ยวอะไรกับหลับตาลืมตา ลืมตา กิเลสก็หลอก หลับตากิเลสก็หลอก แต่ถ้ามีสติปัญญาของเราเท่าทันมัน พุทโธๆๆ พุทโธด้วยอำนาจวาสนา ด้วยการปฏิบัติบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ปฏิบัติเห็นไหม ที่หลวงปู่มั่นบอกว่าสิ่งนี้ศึกษามาแล้วใส่ ไว้ในลิ้นชักสมอง อย่าให้มันออกมา อย่าปฏิบัติด้วยการเทียบ การเคียง อย่าปฏิบัติด้วยเราทำสมบูรณ์แบบแล้ว อย่าปฏิบัติว่า เราทำตามตำรา ตำราบอกไว้อย่างนี้เลย สอนพระอรหันต์มากมายมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระอรหันต์เต็มไปหมดเลย เทวดาสิ้นกิเลส นั่นท่านสอนเทวดา เทวดามีอำนาจวาสนา เทวดาใช้สติปัญญาแทงทะลุกิเลสในใจของตนได้

ท่านแสดงให้พระฟัง พระที่มีวาสนาขึ้นมา ด้วยสติ ด้วยปัญญา ด้วยการค้นคว้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไปฟังพระอัสสชิทีเดียวเห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ท่านย้อนกลับไปที่เหตุ ย้อนกลับไปที่ต้นเหตุ ย้อนกลับไปที่จิตใต้สำนึก ย้อนกลับไปที่กิเลสมันเกิด แทงทะลุมีดวงตาเห็นธรรม

เวลามันเป็นจริง มันเป็นจริงจากการกระทำ มันเป็นจริงจากหัวใจดวงนั้น มันไม่เป็นจริงว่าเราไม่มีกิเลส เราเกิดมาสร้างบารมี ถ้าเกิดมาแล้วให้ลืมตา จรณะ ๑๕ รู้เท่าทันสัมผัส รู้เท่าทันทั้งสิ้น กิเลสมันอายไปเลย กิเลสมันไม่กล้าเข้ามาหาเราเลยไร้สาระ สมาธิชวนเชื่อ ชวนเชื่อได้แต่คนที่ด้อยปัญญา ชวนเชื่อแต่ผู้ที่ไม่มีวาสนา

คนที่มีวาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกาลามสูตร หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านสอน ท่านอบรมบ่มเพาะให้ทำตาม หลวงปู่เสาร์ท่านบอกปฏิบัติให้มันดู มันยังไม่เอาเลย ปฏิบัติให้มันดูให้มันทำ ปฏิบัติให้มันดูให้เป็นปัจจัตตังเป็นสันทิฏฐิโก เป็นการกระทำของเขาเลย นี่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านท้าทาย หลวงตาพระมหาบัวท่านท้าหมดล่ะ พระออกไปวิเวกถ้าได้คุณธรรมมาสอนผมด้วยนะ ถ้าได้ความดีมาบอกผมด้วย

มันห่างไกลกันมาก มันห่างไกลกับสัจจะความจริง

แล้วเวลาจะสิ้นกิเลสเห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่ที่ใจ ใจอันเดียวกัน สัจธรรม พระไตรปิฎกใน พระไตรปิฎกนอก พระไตรปิฎก ตู้พระไตรปิฎก เวลาพระไตรปิฎกใน สมาธิ สติ มีสติ มีปัญญา มีกำลังไขตู้พระไตรปิฎกในใจด้วยธรรมจักร ด้วยปัญญาญาณที่มันหมุน ด้วยปัญญาญาณ ศีล สมาธิ ปัญญา ด้วยมรรคด้วยผล มรรคสามัคคี สมุจเฉทปหาน ขณะจิตคือนิโรธ

ไม่ต้องมีขณะ ขณะมันเรื่องของเขา เรื่องของเราไม่มีขณะก็ได้รักกิเลสใช่ไหม เห็นกิเลสแล้วเป็นเพื่อนซี้สิ อยากอยู่กับกิเลสใช่ไหม มันเลยไม่มีขณะทำลายกิเลสไง

ถ้ามีขณะมันทำลายกิเลสแล้วไม่ต้องไปรักมัน มันตาย แล้วถ้ากิเลสมันตาย มันตายต่อหน้า พอกิเลสตายต่อหน้าอยากได้กิเลสไหมล่ะ กิเลสมันตาย นั่นน่ะ ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ รู้ว่ามันตายด้วย พลิกศพ จัดการศพ จบสิ้น เวลาถ้ามันเป็นจริงนะ

ถ้ามันไม่เป็นจริงมันเป็นการชวนเชื่อ การโฆษณาชวนเชื่อไม่มีเนื้อหาสาระเลย เขาคิดอะไรได้ เขาหวังผลประโยชน์ของเขา เขาก็โฆษณาแบบนั้น แล้วพอโฆษณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คนรู้ทันเขาก็พลิกไปเรื่อย ถึงคำพูดไม่อยู่กับร่องกับรอยไง เดี๋ยวพลิกเป็น อย่างนู้น เดี๋ยวพลิกเป็นอย่างนี้ พลิกเป็นอย่างนั้น

พริกเขาเอาไว้ใส่ต้มยำ พริกเขาเอาไว้แก้เวลาหายใจไม่ออก ฉันแล้วมันจมูกโล่ง พริกมันเผ็ด เขาไม่ใช่พลิกแพลง ไม่ พลิกแพลงพลิกให้เข้ากับกิเลสของตน พลิกเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ พลิกเพื่อให้เขาเชื่อถือศรัทธา แล้วบ่นด้วยนะเขาไม่เชื่อเรา เขาไม่เชื่อเรา

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไม่เคยพูดเลย แล้วไม่ให้เชื่อด้วย แล้วเวลาท่านพูด ท่านปิดด้วย อะไรที่เป็นสิ่งที่สำคัญๆ ข้าม

กิเลสมันร้ายนัก มันจำแล้วมันไปสร้างภาพ ยิ่งรู้มากยิ่งปฏิบัติยาก ยิ่งรู้วิธีการมากยิ่งกิเลสไปพลิกไปแพลง

แล้วนี่ขนาดว่าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมนะ ท่านยังไม่อยากให้กิเลสมันได้ข้อมูลไปหลอกคนอื่นเลย

แต่ถ้าเป็นจริงๆ ท่านท้าเลยเห็นจริงหรือเปล่า เป็นจริงหรือเปล่าแล้วพระกรรมฐานเวลาครูบาอาจารย์เวลาท่านแสดงธรรม สิ่งที่รู้ได้แสดงธรรมนี่จบแล้ว

นี่วกไปวนมา ชักหน้าเข้าถอยหน้าถอยหลัง ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีหนักไม่มีเบา ไม่มีเวลาลงแรง เวลากิเลสมันดื้อมันดึงเต็มที่ ม้าถ้ามันคึกมันคะนองไม่ให้มันกิน เต็มที่ไปกับมัน เวลามันอบรมบ่มเพาะจนมันเชื่อมันฟังแล้ว ให้มันกินพอประมาณ แล้วเรารักษาของมันไปไง

ถ้ามันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นความจริงในหัวใจนั้น ถ้ามันไม่มีความจริงสิ่งใดเลย โฆษณาชวนเชื่อ แล้วเขาไม่เชื่อก็เดือดร้อนนะ ครูบาอาจารย์ท่านไม่เดือดร้อนหรอก ท่านต้องการปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก

ไม่รู้พูดไม่ได้ ไม่รู้ถามไม่ได้

ไอ้คนถาม ถามผิดๆ ถูกๆ ถามแบบจินตนาการ ถามแบบสัญญา ถามแบบอ่านหนังสือมา ไม่ได้ถามแบบประสบการณ์ว่าจิตมันลงอย่างไรเลย

เวลาจิตมันลงแล้วมันยกขึ้นสู่วิปัสสนามันรู้อะไร มันเห็นอะไร เวลาสมุจเฉทปหานไปแล้วมันเหลืออะไร เหลือแค่ไหน แล้วอะไรที่มันขาด อะไรที่มันตาย แล้วอะไรที่มันเหลือ มันไม่มีหลับตาลืมตาหรอก เขามีเหตุมีผล ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุคือการชำระล้างกิเลส เหตุคือการฆ่ากิเลส

แต่ถ้าทำสมาธิไม่เป็นไม่มีเหตุนี่โลกียปัญญาไง มันเป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องตรรกะ เป็นเรื่องสมุดดินสอ เป็นเรื่องการค้นคว้า มันเป็นเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อ เป็นเรื่องเด็กพิเศษ เป็นเรื่องคนที่ไม่มีกิเลสมาเกิด มันขัดมันแย้งกับธรรมะทั้งสิ้น ไม่มีกิเลสเกิดไม่ได้ ไม่มีกิเลสเกิดไม่ได้

คนที่เกิดมีกิเลสทั้งนั้น ที่เกิดมานี้ ชาติปิ ทุกฺขา ชาติการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เกิดมาเป็นคนบอกไม่มีกิเลส แล้วไม่รู้จักกิเลส แล้วไม่เห็นกิเลสด้วย ที่สอนอยู่นี่ก็ยังไม่เห็นกิเลส มีแต่หลับตาลืมตา กิเลสเป็นอย่างไรไม่รู้นะ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านรู้หมดล่ะ ไอ้ที่แสดงออกนั้นมันแค่มารยา มารยาของลูกหลานเท่านั้น หลวงปู่มั่นท่านพูดประจำ นักปฏิบัติส่วนใหญ่แล้วปฏิบัติไปจำนนกับอวิชชาทั้งสิ้น

อุปกิเลส กิเลสหยาบๆ กับอุปกิเลส กิเลสละเอียด กิเลสตัวสุดท้าย เวลาปฏิบัติไปแล้วไปยอมจำนนกับอวิชชาทั้งสิ้น อวิชชาเกิดที่ฐีติจิต ฐีติจิตคือจิตเดิมแท้ จิตเดิมแท้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้ามันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันมีกิเลสทั้งสิ้น บอกไม่มีกิเลส แต่มันเกิดมาเป็นคน แล้วก็เป็นไก่ไข่ลม ไก่ที่ไม่มีชีวิต

แต่เวลาครูบาอาจารย์เรา ไก่ป่า ไก่ป่าที่มีการทนโรคที่เข้มแข็ง แล้วมีสติมีปัญญา พยายามค้นคว้าหาสัจจะหาความจริง โดยมีครูบาอาจารย์มีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น มีหลวงตาพระมหาบัวเป็นผู้คุ้มครองดูแล ดูแลหัวใจนะ ดูแลในภาคปฏิบัติเขาดูแลที่หัวใจ พ่อแม่ครูจารย์ไม่ใช่ดูแลแบบโลก ลูบหน้าปะจมูก พวกมึง พวกกู พวกดี พวกชั่ว

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราไม่มีลูบหน้าปะจมูก การเกิดเป็นคนเท่านั้นพอ การเกิดเป็นคนเสมอกันด้วยความเป็นมนุษย์ แล้วมนุษย์ที่มีอำนาจวาสนา มีการประพฤติปฏิบัติ เวลามาบวชเป็นพระเป็นนักรบ รบกับกิเลสของตน แล้วกิเลสมันยิ่งใหญ่ กิเลสมันพลิกมันแพลง กิเลสมันร้ายนัก

หลวงตาท่านย้ำประจำ กิเลสในหัวใจคนน่ากลัวอย่างยิ่ง กิเลสในใจของผู้ที่ไม่มีกิเลสมาเกิดยิ่งน่ากลัวเป็นสองเท่า เพราะมันหลับตาและลืมตา เอวัง